แพทย์ฯ ม.เชียงใหม่
ถึงน้องๆทุกคนที่อยากเป็นหมอครับ
ผู้เข้าชมรวม
23,150
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปฐมลิขิต : บทความนี้เป็นบทความที่ผู้เยี่ยมชมส่งเข้ามาทาง ubyi@dek-d.com
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ได้อ่านกระทู้น้องๆ พี่ก็เข้าใจความรู้สึกตรงนั้นดี เพราะพี่ผ่านตรงจุดนั้นมาได้หมดแล้วเอาเป็นว่าพี่ขอถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆบ้างละกัน...... (มารู้จักคณะแพทย์เชียงใหม่บ้างดีกว่า)
พี่เป็นเด็ก กทม.โดยกำเนิด และก็เรียนใน กทม.มาตลอด ตอนมัธยมปลายพี่ก็เรียนในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเด็กเก่ง ตอนนั้น พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ออกมาอยู่ ตจว. พี่คิดว่าตัวเองคงได้อยู่ในรั้วพระเกี้ยวหรือมหิดล คณะอะไรยังไม่ได้คิด แต่พอพี่เริ่มค้นพบตัวเองพี่พบว่าพี่อยากเป็น "หมอ" จริงๆ เพราะตรงกับอุปนิสัยและความถนัดทำให้ตอนเลือกคณะพี่เครียดมากเพราะคะแนนของพี่ได้ประมาณ 530 กว่าๆ(รวมจีพีเอ) ซึ่งคงไม่พอที่จะติดหมอใน กทม. แต่ถ้าทันตะคงเป็นไปได้ .... ใจหนึ่งก็อยากอยู่ใกล้บ้าน อยากอยู่ในรั้วพระเกี้ยว(เพราะเพื่อนเยอะ) แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทำตามความฝัน คือการได้เป็น "หมอ" ในที่สุดพี่ก็ตัดสินใจเลือกหมอ 3 อันดับ ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากเรียนหมอจริงๆ ไม่ว่าจะจบจากไหนก็เป็นหมอที่ดีได้ถึงมันจะห่างไกลหรือยากลำบากแค่ไหน ในวันที่ได้สวมชุดครุย ได้เป็น นพ.เต็มตัว คงเป็นวันที่เราภูมิใจที่สุด แต่ถ้าเราขืนทนเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบเพียงเพราะเหตุผลว่า "อยากติดพระเกี้ยว" หรืออยากอยู่ใกล้บ้าน แต่พอเรียนจบ ก็ไม่มีใครมาแขวนป้ายบอกว่า... "ผมจบจากที่นุ่นที่นี่....."
"อนาคตย้อนกลับไม่ได้ อย่ามานึกเสียใจทีหลังละกัน" เป็นคำพูดที่แม่พี่พูดทำให้พี่ตัดสินใจได้ โดยอันดับแรก พี่เสี่ยงเลือกหมอรามาอันดับหนึ่งและตามด้วย มช. มข. ตามลำดับ.... ในที่สุด พี่ก็ไม่ได้รามา แต่กลับได้ มช.แทน (ดีใจนะที่ติดหมอ แต่ก็แอบเสียใจนิดๆที่ต้องจากบ้าน) ตอนนั้น ถ้าพูดถึงเชียงใหม่ พี่แทบไม่รู้อะไรเลย (คล้ายๆกับคุณเจ้าของเรื่องนั่นแหละ) พี่สร้างภาพคณะแพทย์เชียงใหม่ไว้ค่อนข้างทุรกันดาร แต่พอมาถึงจริงๆ......โอ้โห เจริญกว่าที่คิดไว้เยอะ อยู่ในเมือง มีทุกอย่างที่เราต้องการ โรงหนัง เมเจอร์ซินิเพล็กซ์ คาราโอเกะ บุฟเฟ่ต์ ร้านอาหาร(ถูกมากๆ) ร้านเกมออนไลน์ ศูนย์กีฬา... ไม่ลำบากเลย รถไม่ติดด้วย(เวลานัดกับใคร ออกจากที่พักไม่เกิน 15 นาที ถึงแน่ต่างจาก กทม.เยอะ เมื่อก่อนต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเดี๋ยวนี้ตื่นเกือบ 8 โมง อิอิ)... เพราะความที่รถไม่ติดนี่แหละทำให้พี่ติดนิสัยตื่นสาย(อย่าเอาแบบอย่างนะ) เรื่องเพื่อนใหม่.... พี่ได้เพื่อนใหม่มากมายจากที่นี่ เริ่มตั้งแต่รับน้อง กทม. รับน้องรถไฟ จนมาถึงหอพักในมอ.... เพื่อนกลุ่มแรกของพี่ก็จะเป็นกลุ่มเด็ก กทม. และจังหวัดใกล้เคียงที่ไปรับน้องด้วยกันซึ่งเยอะกว่าที่พี่คิดไว้มาก ทั้งหมดนี้ต้องมาร่วมชะตากรรมเดียวกับเราซึ่งต้องจากบ้านมาอยู่ในที่ที่ไม่เคยไปเหมือนกับเราทำให้พี่หายเหงาไปเยอะเชียว..... แต่พอเปิดเทอมมา พี่ก็เริ่มได้รู้จักเด็กเหนือ ซึ่งมีอยู่มากมาย (ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเชียงใหม่) ที่ได้มาจากโควต้าภาคเหนือและก็เด็กโครงการแพทย์ชนบท ซึ่งจะเรียนรวมกับเรา 3 ปี ส่วนชั้น clinic ก็จะแยกไปเรียนที่ รพ.ศูนย์ลำปาง พอมาถึงที่เชียงใหม่ ก็เดินทางมาถึงหอในมอ (ในปี 1 จะยังไม่ได้เรียนที่คณะแพทย์ แต่จะเรียนในคณะวิทย์ก่อน แต่ปี 2 จะได้ย้ายเข้าหอคณะแพทย์และเรียนในคณะแพทย์... ซึ่งคณะแพทย์จะแยกตัวออกจากในมอไปอยู่ต่างหากซึ่งอยู่ในเมืองกว่า...เรียกว่าฝั่งสวนดอก) เห็นหอในมอครั้งแรกถึงกับ "โอ้โห" จะอยู่ได้มั๊ยเนี่ยห้องละ3คนแคบๆ ห้องน้ำรวมไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น(แล้วหน้าหนาวจะทำไงเนี่ย)แต่ในที่สุดพี่ก็ผ่านมาได้ อิอิ อยู่หอในมอมันส์มาก รู้จักเพื่อนคณะอื่นๆเยอะมากแล้วก็มีเรื่องหน้าตื่นเต้นเป็นประจำ เช่น การรวมตัวของแก๊งกระเทย เทศกาลไฟดับ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นสีสันของชีวิตปี 1 ได้เป็นอย่างดี พูดถึงบรรยากาศในมอชอ....รับประกันเลยว่า สวยโคตรๆๆๆๆ เพราะทำเลที่ตั้งของมอชอจะอยู่เชิงเขาถนนในมอก็จะเล่นระดับขึ้นๆลงๆ ต้นไม้เยอะมาก ยิ่งหน้าหนาวนะ อากาศจะหนาวสุดๆ (พี่ไม่อาบน้ำตอนเช้าเลย) มีหมอกบางลง ใบไม้ก็จะเปลี่ยนสีและก็ร่วง บรรยากาศประมาณหนังเกาหลียังงั้นเลย(ไม่ได้โม้นะ เด็กมอชอรู้ดี) แฟชั่นเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอก็จะเริ่มระบาด.... ธรรมเนียมของที่นี่ ทุกคณะก็จะทำเสื้อกันหนาวรุ่นออกมาอวดกันอย่างต่อเนื่องอย่างคณะแพทย์ก็มีเหมือนกัน เท่ห์เชียว(ไม่ค่อยอวดเลยนะเนี่ย) ก่อนเปิดเทอมก็จะมีกิจกรรมที่พี่ๆจัดให้เราอย่างต่อเนื่อง เช่น
- Walk Rally - เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในมอ (เข้าฐาน เต้นแร้งเต้นกากับพวกพี่ๆ) สนุกมากได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ โดยเฉพาะเด็กโควต้าภาคเหนือ (ที่ไม่ได้มาจากEnt) ได้ทำอะไรที่น่าอายด้วย แต่สนุกอย่าบอกใครเชียว
- Freshy Night - เป็นการแสดงที่พี่ๆทำให้น้องชม และเปิดตัวพี่รหัสด้วย วันนั้นพี่รหัสตั้งแต่ปี 6 ยันปี 2 จะขนขนมถุงใหญ่มาให้น้องๆ กินกันแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
พอเปิดเทอมก็มีอีกหลายกิจกรรม เช่น
- รับน้องขึ้นดอย - (น้องจะได้เดินขึ้นดอย เพื่อสักการะพระธาตุดอยสุเทพ) เป็นธรรมเนียมของ นศ.มช.ทุกคณะ...เหนื่อยและมันส์มาก
- Cheerday เอ๊ย!! Sportday - งานใหญ่ที่สุดของชีวิตปี1 เพราะน้องจะได้ขึ้น stand cheer แปรอักษร ได้ชมหลีดเดอร์ของแต่ละคณะประชันกัน ทีแรกนึกว่าเป็นงาน Cheerday ซะอีก แต่ละคณะงัดการแสดงเชียร์มาข่มกันสุดอลังการ
- ค่ายชนบทสัมพันธ์ และค่ายพัฒนาอนามัยชนบท - เป็นค่ายที่ดีมาก ทำให้น้องได้เรียนรู้ชีวิตของคนในชนบทว่าเค้าลำบากเพียงไร น้องจะได้บำเพ็ญประโยชน์ได้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย... สิ่งเหล่านี้เองจะทำให้น้องมีใจที่เสียสละเมตตากรุณา ทำให้น้องเป็นหมอที่ดีในอนาคตด้วยครับ
พูดถึงเรื่องเรียนบ้าง
เปิดเทอมปี1 ปีการศึกษา 2549 ก็เริ่มเรียน ก็จะเรียนวิชาพวกพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลายๆวิชาน้องจะได้เรียนกับนักศึกษาคณะอื่นๆ (ใครอยากหาแฟนต่างคณะก็รีบหาซะ) อย่างในปีพี่(ปีการศึกษา 2549) ก็เรียน... Eng , Physic , Bio , Chem (สามตัวหลังนี่มี lab เป็นวิชาต่างหากด้วยนะ) Elective (วิชาเลือกเสรี พอใจจะไปตัดเกรดกะเพื่อนคณะไหนก็ได้) เสียดาย(รึเปล่า) ที่ปีพี่ไม่มีเรียน Zoology [แต่ Dent' CMU เรียนนะ หุๆๆ] เห็นก่อนสอบ พวก Dent มาท่องเรื่องกายวิภาคกระต่าย กบ ซะ Severe เลย แต่ Med' CMU ไม่มีเรียนจ้า (หึๆๆ) .....ปี 1 เรียนไม่หนัก (เผลอๆเรียนน้อยกว่าคณะอื่นด้วยซ้ำ) มีเวลาว่างเยอะสุดๆ บางวันมีเรียนแค่ครึ่งวัน สำหรับพี่ บางวันก็หยุดไปเลยทั้งวัน อย่างเงี้ย บางวันก็โดดเรียนไปเดินเที่ยวกับเพื่อน ดูหนังบ้าง เล่นเกมส์บ้าง หน้ามอหลังมอ เมเจอร์ เซ็นทรัล โรบินสัน รวมถึงหนีไปเที่ยวบนดอย....พี่ทำมาหมดแล้ว
ใกล้สอบครั้งแรก พี่ก็ยังทำตัวเอื่อยเฉื่อยเช่นเดิม... ส่วนหนึ่งในขณะนั้นพี่ยังแอบคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ (เพราะถือว่าตัวเองเป็นเด็ก กทม. เป็นเด็ก Ent) และพี่ก็คิดว่าพวกเด็กโควต้า เด็กเชียงใหม่คงเก่งสู้เด็กเอ็นท์ไม่ได้หรอก (แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์) แต่พอคะแนนสอบออกมา.... มันตรงกันข้ามกับที่พี่คาดไว้โดยสิ้นเชิง Top20 เกือบทุกคนจะเป็นเด็กเชียงใหม่ คะแนน Hiso มาก ส่วนเด็ก Ent เนี่ยคะแนนจะตกมีนซะเป็นส่วนใหญ่(สมน้ำหน้า อิอิ) ถามไปถามมาพบว่าเด็กโควต้าพวกนี้คะแนนเอ็นท์สูงมาก บางคนคะแนนถึงแพทย์จุฬา คะแนนดิบเอ็นท์ครั้งแรกเกิน 500 เลยด้วยซ้ำ.... แต่เพราะความอยากอยู่ใกล้บ้าน ทำให้เค้าไม่ไป กทม. และก็เรียนที่เชียงใหม่(เยอะมากๆด้วยนะ confirm) ทำให้ความคิดอันผิดๆของพี่เกียวกับเด็กตจว.ได้เปลี่ยนไปและทำให้พี่รู้ว่า...ไม่ใช่คนเก่งทุกคนที่อยากจะเข้าจุฬาและศิริราช ตอนแรกพี่ก็สงสัยว่าทำไมคะแนนโควต้าถึงต่ำจัง จริงๆหารู้ไม่ว่าที่บอกว่าได้ 360 ก็ติด... นั่นคือคะแนน 6 วิชาของการสอบโควต้า ซึ่งเป็นข้อสอบที่มหาลัยแต่งขึ้นเองไม่ใช่เอ็นท์ 7 วิชาอย่างที่เราเข้าใจดังนั้นน้องๆ กทม.ทั้งหลายอย่าไปดูถูกเด็กตจว.เชียวนะ แล้วก็อย่ามัวเที่ยวจนหลงระเริง อย่าคิดว่าตัวเองเก่งละกัน...พี่ขอเตือน
......จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พี่มีสติมากขึ้นตั้งใจเรียนมากขึ้น ส่วนเพื่อนๆที่เก่งๆก็มีน้ำใจกับทุกคน คอยอธิบายสิ่งที่เราไม่เข้าใจ และก็ทำ Sheet สรุปมาแจกเพื่อนๆเป็นประจำ.... ทำให้เราได้รู้ว่า คณะแพทย์ก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน และแข่งกันอย่างเดียว เรายังช่วยเหลือกันอยู่เสมอ
ส่วนเรื่องกิจกรรมที่นี่นับว่ามีกิจกรรมเยอะพอสมควรแต่น้องจะได้อะไรจากกิจกรรมมากกว่าที่น้องคิดน้องจะได้ทั้งมิตรภาพ ความสามัคคีจากเพื่อนๆ ความรักจากพี่ๆ อะไรหลายอย่าง เราอยู่กันด้วยเหตุผลความเข้าใจ ไม่มีว้ากนะครับ(ไม่ต้องห่วง) พี่รหัสก็จะคอยดูแลน้องๆ พาน้องไปเลี้ยงข้าวเป็นประจำ (บ่อยจริงๆ) เวลาผ่านไป 1 ปี พี่จบปีหนึ่งแล้ว 1 ปีนี้พี่ได้อะไรมากมาย มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่าจริงๆ น้องจะได้เจออะไรที่น้องไม่เคยเจออีกเยอะ
คราวนี้มาพูดถึงชีวิตชั้น preclinic กันดีกว่า(ซึ่งพี่กำลังจะเจออีกไม่กี่เดือน)
พอขึ้นปี 2 (อีกไม่กี่เดือน) พวกพี่ก็ต้องย้ายเข้าไปในคณะแพทย์ ไปอยู่หอคณะ ซึ่งคราวนี้หละ ที่พี่จะได้เรียนวิชาแพทย์จริงๆ ทั้งการผ่าอาจารย์ใหญ่ (Gross Anatomy) Biochem Neuro Histo อะไรอีกมากมาย ซึ่งปี2จะเป็นปีแห่งวิชาการอย่างแท้จริง เรียนหนักมากๆๆๆๆ สอบทุก 2 อาทิตย์ วันๆเจอหน้าแต่พวกเดียวกัน หอคณะก็จะเจอแต่รุ่นพี่ เงียบกว่าหอในมอเยอะ แต่ความเป็นอยู่ในหอคณะค่อนข้างสะดวกสบาย น้องเอาตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี คอมพิวเตอร์มาได้ตามใจชอบ อยู่ห้องละ 2 คน แต่น้องคงได้นอนน้อยกว่าเดิมแน่ๆ เพราะบางวันน้องอาจจะต้องอ่านหนังสือโต้รุ่ง เพราะพรุ่งนี้สอบ Gross ทำ Lab ไม่เสร็จ ต้องเอาไฟฉายไปนั่งส่องอาจารย์ใหญ่ตอนดึกๆ (ใครกลัวผีก็ไม่รู้ด้วยนะ)...... น้องอาจจะคิดถึงชีวิตปี1 อันแสนสบาย แต่นี่คือความจริงที่น้องจะเจอไปตลอดชีวิตต่างหาก(อย่าเพิ่งท้อนะ)
ปี3...ปีนี้จะเรียนเบากว่าปี 2 ลงบ้าง(รึเปล่า)
แต่จะมีกิจกรรมมากมาย เพราะปี 3 จะเป็นปีที่ต้องจัดกิจกรรมให้น้องปี 1 ทั้ง sportday งานรับน้องขึ้นดอย อีกมากมาย ส่วนเรื่องเรียนก็จะได้เรียนพวกความผิดปกติต่างๆภายในร่างกาย Pharmaco แล้วก็วิชาพื้นฐานเตรียมขึ้นชั้น clinic แต่เรื่องหลักสูตรรุ่นน้องจะได้เรียนระบบใหม่ เป็น block systemซึ่งจะไม่ค่อนเหมือนกับรุ่นพี่... เป็นยังไงก็ลองไปเปิดดูในเว็บไซต์คณะแพทย์ มช.ดูได้ ....เห็นเค้าว่ามันดีในระยะยาว เป็นการสร้างกระบวนการคิด และค้นคว้าแก่ นศพ. พี่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเหมือนกัน
ปี 4-5 น้องจะได้ขึ้นปฏิบัติงานใน รพ.
ซึ่งรพ.ประจำคณะแพทย์ของเราคือ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่เป็นรพ.ขนาดใหญ่มาก (ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ) บรรยากาศก็คล้ายๆศิริราชที่คนเดินกันเหยียบกันสุดๆ ดังนั้นน้องไม่ต้องห่วงเลย เพราะ case น้องจะหลากหลายและเยอะสุดๆ ซึ่งพี่ว่าดีมากๆ น้องจะได้ปฏิบัติเยอะจริงๆ (เยอะกว่าพวกใน กทม.ด้วยซ้ำ) ซึ่งน้องจะมีเวลาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดบางวันต้องเข้าเวร เป็นต้น... แต่นี่คือชีวิตจริงของแพทย์ครับซึ่งถ้าน้องจบไปจะเจออะไรที่มากกว่านี้อีกเยอะ
ปี6 ก็คือ Extern น้องจะได้ทำอะไรเกือบเหมือนแพทย์จริงๆทุกอย่าง
น้องอาจจะได้ไป extern ที่ตจว.แล้วแต่เค้าจัดให้ ปีนี้จะเป็นปีที่น้องหาประสบการณ์อย่างเต็มที่ ก่อนที่น้องจะได้ออกไปทำหน้าที่แพทย์เต็มตัวในอนาคต คณะแพทย์ มช.มีโครงการพิเศษซึ่งต่างจากที่อื่นอย่างหนึ่งคือ หากน้องทำคะแนนดีๆในชั้น clinic น้องมีโอกาสได้เรียนต่อเฉพาะทางได้เลยทันทีที่น้องจบปี 6 พร้อมกับใช้ทุนที่ รพ.มหาราชไปพร้อมๆกับเรียน กล่าวคือน้องไม่ต้องไปใช้ทุนก่อน 3 ปีแล้วค่อยกลับมาเรียน.... แต่มีข้อแม้ว่าน้องต้องคะแนนดีจริงๆ ซึ่งอาจารย์ในแต่ละภาควิชาจะเป็นผู้เลือกเอง มีจำนวนไม่มาก ในขณะที่อื่นๆเช่นจุฬา ศิริราช น้องต้องไปใช้ทุนก่อนจึงจะมาเรียนต่อได้.... แต่ข้อดีของการที่ได้ไปใช้ทุนก่อน ก็คือน้องจะมีประสบการณ์ในการรักษาโรคทั่วไปใน รพ.ชุมชน ซึ่งถือเป็นทักษะที่ดี(บางคนเรียนต่อเฉพาะทางเลย รักษาโรคทั่วไปไม่ค่อยเป็นก็มี) และน้องยังได้ช่วยเหลือสังคมอีกต่างหาก (ได้ทำบุญด้วย)
เห็นรึยังครับว่าเรียนแพทย์ไม่ง่ายเลยและพอจบไปก็ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีก ดังนั้นจึงขอให้น้องคิดให้ดีก่อนเรียนแพทย์กล่าวคือต้องมีใจรักด้วยนะครับ รักที่จะช่วยคน รักษาคน ยอมมีเวลาว่างน้อยกว่าผู้อื่น ยอมเสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องเอาผิด แต่สิ่งที่น้องได้กลับมามันคือความภาคภูมิใจสูงสุดที่น้องได้ช่วยให้ชีวิตอีกหลายชีวิตหายเป็นปกติ
พิมพ์มาตั้งเยอะแล้ว.... สุดท้ายนี้พี่อยากจะบอกว่า พี่ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้มาอยู่เชียงใหม่เพราะที่นี่ทำให้พี่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ที่จะหนักแน่น
มั่นคง ได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ (ซึ่งอีกหน่อยต้องรับผิดชอบมากกว่านี้อีกเยอะ) และพี่ยังได้เที่ยว ได้ประสบการณ์ซึ่งแน่นอนถ้าอยู่ใน กทม.ไม่มีวันรู้
สุดท้ายนี้ก็ขอให้น้องทุกคนสมหวังในคณะที่ต้องการนะครับ .....แล้วถ้าใครเลือกแพทย์ มช. ขอให้ได้มาเจอกันที่คณะนะครับ พวกพี่จะรออยู่
ผลงานอื่นๆ ของ ~ UBYI ~ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ~ UBYI ~
"อยากเรียนแพทย์มากเรย"
(แจ้งลบ)ตอน นี้ หนู อยุ ม.4 แร้ว อยาก เรียน ที่ ม. เชียง ใหม่ มาก เรย คร๊า ถ้า จะ เอนซ์ แพทย์ ที่ ม.เชียงใหม่ เนี่ย ต้อง ทาม งัย บ้าง หร๊า ค๊ะ ?? ช่วย บอก หน่อย น๊า คร๊า ... ..... ... อ่านเพิ่มเติม
ตอน นี้ หนู อยุ ม.4 แร้ว อยาก เรียน ที่ ม. เชียง ใหม่ มาก เรย คร๊า ถ้า จะ เอนซ์ แพทย์ ที่ ม.เชียงใหม่ เนี่ย ต้อง ทาม งัย บ้าง หร๊า ค๊ะ ?? ช่วย บอก หน่อย น๊า คร๊า ... ..... อ่านน้อยลง
AnGleNigth | 25 พ.ย. 52
5
0
"อยากเรียนแพทย์มากเรย"
(แจ้งลบ)ตอน นี้ หนู อยุ ม.4 แร้ว อยาก เรียน ที่ ม. เชียง ใหม่ มาก เรย คร๊า ถ้า จะ เอนซ์ แพทย์ ที่ ม.เชียงใหม่ เนี่ย ต้อง ทาม งัย บ้าง หร๊า ค๊ะ ?? ช่วย บอก หน่อย น๊า คร๊า ... ..... ... อ่านเพิ่มเติม
ตอน นี้ หนู อยุ ม.4 แร้ว อยาก เรียน ที่ ม. เชียง ใหม่ มาก เรย คร๊า ถ้า จะ เอนซ์ แพทย์ ที่ ม.เชียงใหม่ เนี่ย ต้อง ทาม งัย บ้าง หร๊า ค๊ะ ?? ช่วย บอก หน่อย น๊า คร๊า ... ..... อ่านน้อยลง
AnGleNigth | 25 พ.ย. 52
5
0
ความคิดเห็น